|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร 2) ประเมินคุณภาพระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร 3)เพื่อสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารกลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์สาขาจำนวน 5 คน นักศึกษาจำนวน 30 คน สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ1)ระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร2) แบบประเมินคุณภาพระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารประกอบด้วย2ส่วน คือ ส่วนของสมาชิก และส่วนของผู้ดูแล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีระบบในหน่วยงาน และการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารของผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x̅ = 4.47,S.D. =0.50)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̅ = 4.50, S.D. =0.56)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
ผู้จัดทำ :
นางสาวชลีพร ไปแดน
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร 2) ประเมินคุณภาพระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร 3)เพื่อสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารกลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์สาขาจำนวน 5 คน นักศึกษาจำนวน 30 คน สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ1)ระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร2) แบบประเมินคุณภาพระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารประกอบด้วย2ส่วน คือ ส่วนของสมาชิก และส่วนของผู้ดูแล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีระบบในหน่วยงาน และการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารของผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( x̅ = 4.47,S.D. =0.50)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบการจัดการขอสอบโครงงานนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̅ = 4.50, S.D. =0.56)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ 2) ประเมินคุณภาพระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา1)ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ2) แบบประเมินคุณภาพของระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ ประกอบด้วย2 ส่วนคือ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแลระบบ และส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นสมาชิกระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ สามารถตอบคำถามเองได้อัตโนมัติ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการตอบคำถามและให้คำปรึกษาต่างๆ ได้
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำจากผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.37, S.D. = 0.58)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.45, S.D. = 0.68)
โครงงาน :
ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ
ผู้จัดทำ :
นางสาวชลีพรรณ ไปแดน
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ 2) ประเมินคุณภาพระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา1)ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ2) แบบประเมินคุณภาพของระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ ประกอบด้วย2 ส่วนคือ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแลระบบ และส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นสมาชิกระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำ สามารถตอบคำถามเองได้อัตโนมัติ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการตอบคำถามและให้คำปรึกษาต่างๆ ได้
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำจากผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.37, S.D. = 0.58)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบช่วยให้คำปรึกษากึ่งอัตโนมัติโดยใช้เทคนิคการประมวลผลคำโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.45, S.D. = 0.68)
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา 2) ประเมินคุณภาพของระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา แบบประเมินคุณภาพ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา ประกอบด้วย ส่วนของผู้ใช้ทั่วไป ส่วนสมาชิก และส่วนผู้ดูแลระบบ 2) ผลการประเมินคุณภาพระบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
โครงงาน :
ระบบจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา
ผู้จัดทำ :
นาย อานนท์ ธุระกิจ
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา 2) ประเมินคุณภาพของระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา แบบประเมินคุณภาพ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระบบการจัดการข้อมูลโครงงานนักศึกษา ประกอบด้วย ส่วนของผู้ใช้ทั่วไป ส่วนสมาชิก และส่วนผู้ดูแลระบบ 2) ผลการประเมินคุณภาพระบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) 2) ประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR)กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) 2)ประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR ) และ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR)สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา มีดังนี้
1. แอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) ประกอบด้วย ภาพทิวทัศน์ 4 มุมของพระธาตุนาดูนและแผนที่ พร้อมแสดงรายละเอียด และเสียงบรรยายประกอบ
2. ผลการประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ผลการสอบความพึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) โดยรวมอยู่ในระดับมาก
โครงงาน :
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสมือน (VR)
ผู้จัดทำ :
นางสาวโยทกา เพชรแสน
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ ดร.อภิชาติ เหล็กดี
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) 2) ประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR)กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) 2)ประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR ) และ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR)สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา มีดังนี้
1. แอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) ประกอบด้วย ภาพทิวทัศน์ 4 มุมของพระธาตุนาดูนและแผนที่ พร้อมแสดงรายละเอียด และเสียงบรรยายประกอบ
2. ผลการประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ผลการสอบความพึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นแนะนำแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานพระธาตุนาดูนด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) โดยรวมอยู่ในระดับมาก
|
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ 2) ประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ กลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรโรงเรียนบ้านมะโบ่ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ ระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ แบบประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1.ระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ประกอบด้วย3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแลระบบ สามารถจัดการข้อมูลทุกอย่างในระบบได้ส่วนที่ 2 ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากร สามารถแก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ ดูข้อมูลภาวะทุพโภชนาการ ดูข้อมูลนักเรียนได้ ส่วนที่ 3 ส่วนของผู้ใช้งานทั่วไป สามารถดูข้อมูลภาวะทุพโภชนาการ ข้อมูลนักเรียน ข้อมูลบุคลากรได้
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่
โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก( = 4.26,S.D.= 0.61)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.64, S.D.= 0.48)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่
ผู้จัดทำ :
นางสาววิริยา พลเสนา
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ 2) ประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ กลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรโรงเรียนบ้านมะโบ่ จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ ระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ แบบประเมินคุณภาพของระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1.ระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่ประกอบด้วย3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแลระบบ สามารถจัดการข้อมูลทุกอย่างในระบบได้ส่วนที่ 2 ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากร สามารถแก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ ดูข้อมูลภาวะทุพโภชนาการ ดูข้อมูลนักเรียนได้ ส่วนที่ 3 ส่วนของผู้ใช้งานทั่วไป สามารถดูข้อมูลภาวะทุพโภชนาการ ข้อมูลนักเรียน ข้อมูลบุคลากรได้
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่
โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก( = 4.26,S.D.= 0.61)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบสารสนเทศภาวะทุพโภชนาการโรงเรียนบ้านมะโบ่โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.64, S.D.= 0.48)
|
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์2) ประเมินคุณภาพระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร จำนวน 10 คนได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1)ระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ 2) ประเมินคุณภาพระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์3) สอบถามความพึงพอใจสถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. การพัฒนาระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนระบบบริหารจัดการข้อมูลแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไขข้อมูล บันทึกข้อมูล และ ส่วนแอปพลิเคชันสามารถแจ้งซ่อมและดูสถานการณ์แจ้งซ่อมได้ด้วย พบว่าระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับดี มาก
( x= 4.38,S.D. =0.62)
3. ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x= 4.75,S.D. =0.43)
โครงงาน :
แอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ กรณีศึกษา สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้จัดทำ :
นายภาคภูมิ วิเลศ
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์นราธิป ทองปาน
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์2) ประเมินคุณภาพระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร จำนวน 10 คนได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1)ระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ 2) ประเมินคุณภาพระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์3) สอบถามความพึงพอใจสถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. การพัฒนาระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนระบบบริหารจัดการข้อมูลแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไขข้อมูล บันทึกข้อมูล และ ส่วนแอปพลิเคชันสามารถแจ้งซ่อมและดูสถานการณ์แจ้งซ่อมได้ด้วย พบว่าระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับดี มาก
( x= 4.38,S.D. =0.62)
3. ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อระบบแอปพลิเคชันแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x= 4.75,S.D. =0.43)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ1) เพื่อพัฒนาระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) ระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ 2) แบบประเมินคุณภาพระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการการศึกษา พบว่า 1)ระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติที่พัฒนาโดยใช้ภาษาC# ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่1.ส่วนรายละเอียดห้องคอมพิวเตอร์ และ 2.ส่วนรายงานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรม ที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ระบบสามารถตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และรายงานผลอัตโนมัติได้อย่างถูกต้อง 2) ผลการประเมินคุณภาพระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผลการประเมินคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.43 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.68
โครงงาน :
ระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ
ผู้จัดทำ :
นางสาวสายฝน ภูสีดวง
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์วินัย โกหลำ
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ1) เพื่อพัฒนาระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) ระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ 2) แบบประเมินคุณภาพระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการการศึกษา พบว่า 1)ระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติที่พัฒนาโดยใช้ภาษาC# ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่1.ส่วนรายละเอียดห้องคอมพิวเตอร์ และ 2.ส่วนรายงานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรม ที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ระบบสามารถตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และรายงานผลอัตโนมัติได้อย่างถูกต้อง 2) ผลการประเมินคุณภาพระบบตรวจสอบอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผลการประเมินคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.43 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.68
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ1) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล 2) เพื่อประเมินคุณภาพของแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัลเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1)แอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล 2) แบบประเมินคุณภาพแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัลสถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1) แอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล ประกอบด้วย 2 ส่วน
คือ 1. ระบบบริหารจัดการข้อมูลคาร์แคร์ 2. ด้านแอปพลิเคชันในการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรมสามารถ เพิ่ม แก้ไข หรือลบ account ของพนักงานร้านได้ สามารถดูรายงานการเงินได้ สามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบสมาชิกได้ สามารถปรับเปลี่ยนราคาค่าบริการ เพิ่ม ลบ แก้ไขรายการบริการได้ สามารถจัดการคิวหน้าร้านและคิวออนไลน์ได้ สามารถปรับเปลี่ยนรายการโปรโมชั่นได้ สามารถตรวจสอบการใช้งานโปรโมชั่นของสมาชิกและการขอใช้สิทธิ์โปรโมชั่นของสมาชิกได้ และยังสามารถพิมพ์ใบเสร็จชำระเงินของผู้ที่มาใช้บริการได้ ทั้งแบบเป็นสมาชิกและแบบลูกค้าทั่วไปส่วนด้านแอปพลิเคชัน ผู้ที่เข้ามาใช้งานระบบสามารถสมัครสมาชิกได้ แก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ สามาถดูสาขาที่อยู่ใกล้คียงได้ สามารถดูบริการของทางร้านได้ สามารถดุโปรโมชั่นของทางร้านได้ สามารถจองคิวออนไลน์ได้ และสามารถดูคิวหน้าร้านและคิวออนไลน์ที่มีได้
2) ผลการประเมินคุณภาพแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผลการประเมินคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย = 4.35 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน =0.55
โครงงาน :
แอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล
ผู้จัดทำ :
นายภูริวิชญ์ บัวบุญ และนายปริญญ์ พันธ์สุวอ
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์นราธิป ทองปาน
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ1) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล 2) เพื่อประเมินคุณภาพของแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัลเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1)แอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล 2) แบบประเมินคุณภาพแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัลสถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1) แอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล ประกอบด้วย 2 ส่วน
คือ 1. ระบบบริหารจัดการข้อมูลคาร์แคร์ 2. ด้านแอปพลิเคชันในการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรมสามารถ เพิ่ม แก้ไข หรือลบ account ของพนักงานร้านได้ สามารถดูรายงานการเงินได้ สามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบสมาชิกได้ สามารถปรับเปลี่ยนราคาค่าบริการ เพิ่ม ลบ แก้ไขรายการบริการได้ สามารถจัดการคิวหน้าร้านและคิวออนไลน์ได้ สามารถปรับเปลี่ยนรายการโปรโมชั่นได้ สามารถตรวจสอบการใช้งานโปรโมชั่นของสมาชิกและการขอใช้สิทธิ์โปรโมชั่นของสมาชิกได้ และยังสามารถพิมพ์ใบเสร็จชำระเงินของผู้ที่มาใช้บริการได้ ทั้งแบบเป็นสมาชิกและแบบลูกค้าทั่วไปส่วนด้านแอปพลิเคชัน ผู้ที่เข้ามาใช้งานระบบสามารถสมัครสมาชิกได้ แก้ไขข้อมูลส่วนตัวได้ สามาถดูสาขาที่อยู่ใกล้คียงได้ สามารถดูบริการของทางร้านได้ สามารถดุโปรโมชั่นของทางร้านได้ สามารถจองคิวออนไลน์ได้ และสามารถดูคิวหน้าร้านและคิวออนไลน์ที่มีได้
2) ผลการประเมินคุณภาพแอปพลิเคชันส่งเสริมการขายสำหรับร้านคาร์แคร์สู่ตลาดดิจิทัล โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผลการประเมินคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย = 4.35 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน =0.55
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 2) ประเมินคุณภาพของระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบไปรษณีย์เอชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะเทคโนโลยีสารสรเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 30 คน คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่าง่ายด้วยวิธีการจับฉลากเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา1)ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต2) แบบประเมินคุณภาพของระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
ส่วนของผู้ดูแลระบบ และส่วนของเจ้าหน้าที่ ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลการใช้บริการไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X ̅ = 4.49, S.D. = 0.58)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยรวมอยู่ในระดับมาก (X ̅= 4.26, S.D. = 0.62)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ผู้จัดทำ :
นางสาวกนกวรรณ ประวันเตา
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 2) ประเมินคุณภาพของระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบไปรษณีย์เอชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะเทคโนโลยีสารสรเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 30 คน คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่าง่ายด้วยวิธีการจับฉลากเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา1)ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต2) แบบประเมินคุณภาพของระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
ส่วนของผู้ดูแลระบบ และส่วนของเจ้าหน้าที่ ระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลการใช้บริการไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X ̅ = 4.49, S.D. = 0.58)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบไปรษณีย์เอกชนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยรวมอยู่ในระดับมาก (X ̅= 4.26, S.D. = 0.62)
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส 2) ประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส กลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์จานวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) ระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส 2) แบบประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า
1. การพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส ประกอบด้วยคลังสินค้า จัดการข้อมูลสินค้า สั่งซื้อสินค้า รับสินค้า ตรวจสอบสินค้า และขายสินค้า ผลการวิจัย พบว่าการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพของการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส โดยรวมอยู่ในระดับมาก
โครงงาน :
การพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส
ผู้จัดทำ :
นางสาวเพียงรัมพร แก้วพิมพ์
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส 2) ประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส กลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์จานวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) ระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส 2) แบบประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า
1. การพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส ประกอบด้วยคลังสินค้า จัดการข้อมูลสินค้า สั่งซื้อสินค้า รับสินค้า ตรวจสอบสินค้า และขายสินค้า ผลการวิจัย พบว่าการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพของการพัฒนาระบบคลังสินค้าร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทัช เซอร์วิส โดยรวมอยู่ในระดับมาก