|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ 2) ประเมินคุณภาพของอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานของอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ประชากร ได้แก่ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ชั้นปีที่ 1-3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) อุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ 2) แบบประเมินคุณภาพอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่ออุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษามีดังนี้
1. การพัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) ส่วนระบบการรายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ และ 2) ส่วนอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ซึ่งอุปกรณ์รายงานข้อมูลทั้งสองส่วนสามารถตรวจสอบ และรายงานค่ารังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ได้อย่างถูกต้อง
2. ผลการประเมินคุณภาพของการพัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบการรายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด
โครงงาน :
การพัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลต และอุณหภูมิ
ผู้จัดทำ :
นายณัฐวุฒิ ทินบุตร และนายวัฒพล เนื่องคันธีร์
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ 2) ประเมินคุณภาพของอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานของอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ประชากร ได้แก่ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ชั้นปีที่ 1-3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) อุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ 2) แบบประเมินคุณภาพอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่ออุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษามีดังนี้
1. การพัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) ส่วนระบบการรายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ และ 2) ส่วนอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ซึ่งอุปกรณ์รายงานข้อมูลทั้งสองส่วนสามารถตรวจสอบ และรายงานค่ารังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ ได้อย่างถูกต้อง
2. ผลการประเมินคุณภาพของการพัฒนาอุปกรณ์รายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบการรายงานข้อมูลรังสีอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค
บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2) ประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บน
ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4
ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนโรงเรียนหลักด่านวิทยา ตาบลหนองอี
เฒ่า อาเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่
แอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แบบประเมินคุณภาพ
แอพพลิเคชั่น และ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีแอพพลิเคชั่นสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ
ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า
1. แอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สามารถใช้งานได้
อย่างมีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมของแอพพลิเคชั่นคาศัพท์
ภาษา 4ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.60,S.D. =0.03)
3. ความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บน
ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โดยรวมอยู่ในระดับระดับมาก ( X = 3.93,S.D. =0.70)
โครงงาน :
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
ผู้จัดทำ :
นางสาวทิพวรรณ กาสีแพง
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ ดร.อภิชาติ เหล็กดี
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค
บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2) ประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บน
ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4
ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนโรงเรียนหลักด่านวิทยา ตาบลหนองอี
เฒ่า อาเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่
แอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แบบประเมินคุณภาพ
แอพพลิเคชั่น และ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีแอพพลิเคชั่นสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ
ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า
1. แอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สามารถใช้งานได้
อย่างมีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมของแอพพลิเคชั่นคาศัพท์
ภาษา 4ภาค บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.60,S.D. =0.03)
3. ความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษา 4 ภาค บน
ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โดยรวมอยู่ในระดับระดับมาก ( X = 3.93,S.D. =0.70)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) เพื่อพัฒนาระบบดูแลการเจริญเติบโตผัก
อัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง(กรณีศึกษาผักคะน้า) 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบดูแลการ
เจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง (กรณีศึกษาผักคะน้า) กลุ่มเป้าหมายคือผู้เชี่ยวชาญ
ประเมินคุณภาพเครื่องมือ จานวน 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพของอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นโดยเป็น
อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ที่มีความรู้ความสามารถด้าน
คอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์ประเมินคุณภาพของอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือในการศึกษา ได้แก่ 1)
ระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง (กรณีศึกษาผักคะน้า) 2)แบบประเมิน
คุณภาพระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง (กรณีศึกษาผักคะน้า) สถิติที่ใช้
ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า
1. ผลการพัฒนาระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้งสามารถ
ทางานได้อย่างมีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญต่อความเหมาะสมของระบบดุแลการ
เจริญเติบโตอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้งโดยรวมอยู่ในระดับมาก( X =4.10, S.D. =0.66)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง(กรณีศึกษาผักคะน้า)
ผู้จัดทำ :
นายบัณฑิต แก้วภูมิแห่ และนายธีรพงศ์ สุริโย
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์วินัย โกหลำ
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) เพื่อพัฒนาระบบดูแลการเจริญเติบโตผัก
อัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง(กรณีศึกษาผักคะน้า) 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบดูแลการ
เจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง (กรณีศึกษาผักคะน้า) กลุ่มเป้าหมายคือผู้เชี่ยวชาญ
ประเมินคุณภาพเครื่องมือ จานวน 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพของอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นโดยเป็น
อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ที่มีความรู้ความสามารถด้าน
คอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์ประเมินคุณภาพของอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือในการศึกษา ได้แก่ 1)
ระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง (กรณีศึกษาผักคะน้า) 2)แบบประเมิน
คุณภาพระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้ง (กรณีศึกษาผักคะน้า) สถิติที่ใช้
ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า
1. ผลการพัฒนาระบบดูแลการเจริญเติบโตผักอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้งสามารถ
ทางานได้อย่างมีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญต่อความเหมาะสมของระบบดุแลการ
เจริญเติบโตอัตโนมัติในแปลงเกษตรกางมุ้งโดยรวมอยู่ในระดับมาก( X =4.10, S.D. =0.66)
|
การศึกษาโครงงานนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครู
โรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น 2) ประเมินคุณภาพระบบ
จัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัด
ขอนแก่น 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูของโรงเรียน
บ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือ
บุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น จานวน 30
คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บฐานข้อมูลและแบบสอบถามความพอใจ
ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน
จังหวัดขอนแก่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1.ได้ระบบจัดเก็บข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา
อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
2. ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา
อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น อยู่ในระดับดีมาก ( X = 4.09, S.D. = 0.16)
3. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบล
หัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
( X = 4.53, S.D.= 0.58)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบจัดเก็บฐานข้อมูลบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา
ผู้จัดทำ :
นายธีระพงษ์ อุปัชฌาใต้
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ณัฐพงศ์ พลสยม
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาโครงงานนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครู
โรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น 2) ประเมินคุณภาพระบบ
จัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัด
ขอนแก่น 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูของโรงเรียน
บ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือ
บุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น จานวน 30
คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บฐานข้อมูลและแบบสอบถามความพอใจ
ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา อาเภอกระนวน
จังหวัดขอนแก่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1.ได้ระบบจัดเก็บข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา
อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
2. ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบลหัวนาคา
อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น อยู่ในระดับดีมาก ( X = 4.09, S.D. = 0.16)
3. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ระบบจัดเก็บฐานข้อมูลของบุคลากรและครูโรงเรียนบ้านหัวนาคา ตาบล
หัวนาคา อาเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
( X = 4.53, S.D.= 0.58)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างระบบควบคุมช่องทางเข้า - ออก ด้วยเซอร์โวมอเตอร์โดยผ่านเทคโนโลยี RFID และจัดการช่องจอดรถด้วยLED โดย Ultrasonic Sensor Module เป็นตัวควบคุม 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบควบคุมช่องทางเข้า - ออก และจัดการช่องจอดรถด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ)3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ)กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ชั้นปีที่ 1 จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID แบบประเมินคุณภาพแบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อแบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย ( ) และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ) สามารถทางานได้ตามคาสั่งที่กาหนดไว้ในโปรแกรม ซึ่งสามารถสั่งการ Buzzer ทาหน้าที่ส่งเสียงเตือนผู้ใช้งาน แล้วเซอร์โวมอเตอร์ทางาน ส่งผลให้ไม้กั้นเปิด-ปิดลงในเวลาที่กาหนด และในการจัดการช่องจอดรถ จะใช้ LED แสดงช่องจอดโดยมี Ultrasonic Sensor Module ควบคุม
2. ผลการประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ) โดยรวมอยู่ในระดับ เหมาะสมมากที่สุด ( = 4.50,
S.D. = 0.51)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อการพัฒนาระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ) โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก
( = 4.46, S.D.= 0.60)
โครงงาน :
แบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID
ผู้จัดทำ :
นายนคร สินคา และนายอรรถพล วงค์มาตย์
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ ดร.อภิชาติ เหล็กดี
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างระบบควบคุมช่องทางเข้า - ออก ด้วยเซอร์โวมอเตอร์โดยผ่านเทคโนโลยี RFID และจัดการช่องจอดรถด้วยLED โดย Ultrasonic Sensor Module เป็นตัวควบคุม 2) เพื่อประเมินคุณภาพของระบบควบคุมช่องทางเข้า - ออก และจัดการช่องจอดรถด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ)3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ)กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ชั้นปีที่ 1 จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID แบบประเมินคุณภาพแบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อแบบจาลองลานจอดรถอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี RFID สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย ( ) และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ) สามารถทางานได้ตามคาสั่งที่กาหนดไว้ในโปรแกรม ซึ่งสามารถสั่งการ Buzzer ทาหน้าที่ส่งเสียงเตือนผู้ใช้งาน แล้วเซอร์โวมอเตอร์ทางาน ส่งผลให้ไม้กั้นเปิด-ปิดลงในเวลาที่กาหนด และในการจัดการช่องจอดรถ จะใช้ LED แสดงช่องจอดโดยมี Ultrasonic Sensor Module ควบคุม
2. ผลการประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ) โดยรวมอยู่ในระดับ เหมาะสมมากที่สุด ( = 4.50,
S.D. = 0.51)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อการพัฒนาระบบควบคุมช่องทางและจัดการช่องจอดรถ ด้วยเทคโนโลยี RFID (ลานจอดรถอัจฉริยะ) โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก
( = 4.46, S.D.= 0.60)
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาพัฒนาระบบเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การ
ทาครั่ง” 2) ประเมินคุณภาพของ ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทำครั่ง” ที่
พัฒนาขึ้น 3) สอบถามความพึงพอใจที่มีต่อสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อเว็บไซต์ภูมิปัญญา
ท้องถิ่น “การทาครั่ง” ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นคนที่เลี้ยงครั่งบ้านโคกใหญ่ ตาบลหนองม่วง
อาเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม คัดเลือกแบบเจาะจงจานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ เว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง” แบบประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทา
ครั่ง”และแบบสอบถามความพึงพอใจของเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง”สถิติที่ใช้ใน
การศึกษาคือการหาค่าเฉลี่ย และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษา พบว่า
1. เว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง” ที่มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก( X =
4.13, S.D. = 0.05)
3. ผลการสอบความพึงพอใจที่มีต่อที่มีต่อการใช้งานเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง”
โดยรวมอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด ( X = 4.73, S.D. = 0.31)
โครงงาน :
การพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทำครั่ง”
ผู้จัดทำ :
นางสาวนัดดา เภาสี
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ณัฐพงศ์ พลสยม
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาพัฒนาระบบเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การ
ทาครั่ง” 2) ประเมินคุณภาพของ ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทำครั่ง” ที่
พัฒนาขึ้น 3) สอบถามความพึงพอใจที่มีต่อสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อเว็บไซต์ภูมิปัญญา
ท้องถิ่น “การทาครั่ง” ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นคนที่เลี้ยงครั่งบ้านโคกใหญ่ ตาบลหนองม่วง
อาเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม คัดเลือกแบบเจาะจงจานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ เว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง” แบบประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทา
ครั่ง”และแบบสอบถามความพึงพอใจของเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง”สถิติที่ใช้ใน
การศึกษาคือการหาค่าเฉลี่ย และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษา พบว่า
1. เว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง” ที่มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก( X =
4.13, S.D. = 0.05)
3. ผลการสอบความพึงพอใจที่มีต่อที่มีต่อการใช้งานเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่น “การทาครั่ง”
โดยรวมอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด ( X = 4.73, S.D. = 0.31)
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัด
มหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2) ประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟใน
จังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
แอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ประชากรคือ
นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา
สาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ชั้นปีที่ 3
จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบประเมินผู้เชี่ยวชาญแอพพลิเคชั่นที่แนะนาร้าน
กาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แบบประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่น
แนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และแบบประเมินความ
พึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
วิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติที่ใช้ในการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า
1. แอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
2. ผลการประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นที่แนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคาม
บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย x̅ = 4.22 S.D.= 0.55)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัด
มหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย x̅ = 4.28
S.D.= 0.59)
โครงงาน :
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นแนะร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคาม บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
ผู้จัดทำ :
นางสาวกนกกานต์ บุญเรือง
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ณัฐพงศ์ พลสยม
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัด
มหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2) ประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟใน
จังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
แอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ประชากรคือ
นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา
สาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ชั้นปีที่ 3
จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบประเมินผู้เชี่ยวชาญแอพพลิเคชั่นที่แนะนาร้าน
กาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แบบประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่น
แนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และแบบประเมินความ
พึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
วิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติที่ใช้ในการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า
1. แอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
2. ผลการประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นที่แนะนาร้านกาแฟในจังหวัดมหาสารคาม
บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย x̅ = 4.22 S.D.= 0.55)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อแอพพลิเคชั่นแนะนาร้านกาแฟในจังหวัด
มหาสารคามบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย x̅ = 4.28
S.D.= 0.59)
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ 3) สอบถามความพึงพอใจที่มีต่อระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารจานวน 30 คน คัดเลือกแบบสุ่มโดยการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) วงจรควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ 2) แบบประเมินคุณภาพ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า
1. การพัฒนาระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ ประกอบด้วย ระบบสามารถเปิดไฟฟ้าเมื่อมีการเคลื่อนที่ผ่านประตูและไฟฟ้าติดเมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในบ้านและระบบสามารถปิดไฟฟ้าได้เองเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหว พบว่า ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพของระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อผู้ใช้งานระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
โครงงาน :
การพัฒนาระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์
ผู้จัดทำ :
นางสาวอรวรรณ คาไซร้
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ 3) สอบถามความพึงพอใจที่มีต่อระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารจานวน 30 คน คัดเลือกแบบสุ่มโดยการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) วงจรควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ 2) แบบประเมินคุณภาพ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า
1. การพัฒนาระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์ ประกอบด้วย ระบบสามารถเปิดไฟฟ้าเมื่อมีการเคลื่อนที่ผ่านประตูและไฟฟ้าติดเมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในบ้านและระบบสามารถปิดไฟฟ้าได้เองเมื่อไม่มีการเคลื่อนไหว พบว่า ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์มีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพของระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อผู้ใช้งานระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าด้วยเซ็นเซอร์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
|
การศึกษาโครงงานครั งนี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใช้น้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็น จ้านวน 112 ครัวเรือน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1) ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 2) แบบประเมินคุณภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ
ส่วนลงชื่อเข้าใช้ระบบ(Login) ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแลระบบ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้เก็บค่าน้าประปา ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ใช้น้าประปา และส่วนของแอปพลิเคชั่นระบบแจ้งเตือนค่าบริการน้าประปา ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ที่พัฒนาขึ นนี สามารถน้าไปประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ได้จริง
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์
โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.44, S.D. = 0.50)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.59, S.D. = 0.4)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์
ผู้จัดทำ :
นายศรีปกรณ์ โพธิ์ศรีวัง
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาโครงงานครั งนี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใช้น้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็น จ้านวน 112 ครัวเรือน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1) ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 2) แบบประเมินคุณภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื นฐานคือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ
ส่วนลงชื่อเข้าใช้ระบบ(Login) ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแลระบบ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้เก็บค่าน้าประปา ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ใช้น้าประปา และส่วนของแอปพลิเคชั่นระบบแจ้งเตือนค่าบริการน้าประปา ระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ที่พัฒนาขึ นนี สามารถน้าไปประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ได้จริง
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์
โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.44, S.D. = 0.50)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบจัดเก็บข้อมูลน้าประปาหมู่บ้านหนองตาเต็นออนไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.59, S.D. = 0.4)
|
โครงงาน :
การพัฒนาสื่อเสริมการเรียนรู้เรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality
ผู้จัดทำ :
นางสาวนิภาพร สุนทรสนิท
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ ดร.อภิชาติ เหล็กดี
ปีการศึกษา :
2559
|