|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 2)
ประเมินคุณภาพของระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้งานของ
ระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ กลุ่มเป้าหมาย คือ เจ้าหน้าที่พัสดุร้านโสพลวัสดุ จานวน 3 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) แบบประเมินคุณภาพระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 2)
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 3) วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ
พื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
ผลการพัฒนาระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ
1. ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของสมาชิก และส่วนผู้ดูแลระบบ ซึ่งสามารถนาไปใช้ในการ
จัดเก็บข้อมูลในร้านโสพลวัสดุ เพื่อให้เกิดการทางานอย่างมีระบบในร้านโสพลวัสดุ
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ โดยรวมอยู่ในระดับ
มาก ( x̅ =4.67, S.D. = 0.51)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ
โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.45, S.D. =0.56)
โครงงาน :
ระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ
ผู้จัดทำ :
นายอนุวัฒน์ พิกุลศรี
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์นราธิป ทองปาน
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 2)
ประเมินคุณภาพของระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้งานของ
ระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ กลุ่มเป้าหมาย คือ เจ้าหน้าที่พัสดุร้านโสพลวัสดุ จานวน 3 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) แบบประเมินคุณภาพระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 2)
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ 3) วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ
พื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
ผลการพัฒนาระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ
1. ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของสมาชิก และส่วนผู้ดูแลระบบ ซึ่งสามารถนาไปใช้ในการ
จัดเก็บข้อมูลในร้านโสพลวัสดุ เพื่อให้เกิดการทางานอย่างมีระบบในร้านโสพลวัสดุ
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ โดยรวมอยู่ในระดับ
มาก ( x̅ =4.67, S.D. = 0.51)
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบการจัดการคลังสินค้าโสพลวัสดุ
โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.45, S.D. =0.56)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ นักเรียนโรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ แบบประเมินคุณภาพของระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ และ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า
1. พัฒนาระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ สามารถใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมของระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.04, S.D. =0.04)
3.ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ =4.76, S.D. =0.08)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์
ผู้จัดทำ :
นางสาวอภิญญา เพ็ชรน้อย
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ณัฐพงศ์ พลสยม
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ นักเรียนโรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ แบบประเมินคุณภาพของระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ และ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบว่า
1. พัฒนาระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์ สามารถใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ
2. ผลการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมของระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.04, S.D. =0.04)
3.ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบบริหารจัดการธนาคารออนไลน์โรงเรียนชุมชนสะอาดผดุงศิลป์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ =4.76, S.D. =0.08)
|
โครงงาน :
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นคาศัพท์ภาษาไทยพื้นฐานสาหรับเด็กชั้นอนุบาล 1 บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
ผู้จัดทำ :
นางสาวอภิณพร ภูจีระ
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ณัฐพงศ์ พลสยม
ปีการศึกษา :
2559
|
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท 2) ประเมินคุณภาพของพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ชั้นปีที่ 4 จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท แบบประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบทแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. พัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของผู้ใช้ทั่วไป, ส่วนของสมาชิก, ส่วนของผู้ดูแลระบบ
2. ผลการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
โครงงาน :
การพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอำเภอชนบท
ผู้จัดทำ :
นางสาวอรอนงค์ แก้วมาลา
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท 2) ประเมินคุณภาพของพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ชั้นปีที่ 4 จานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท แบบประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบทแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. พัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของผู้ใช้ทั่วไป, ส่วนของสมาชิก, ส่วนของผู้ดูแลระบบ
2. ผลการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ผลการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาเว็บไซต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ของดีอาเภอชนบท โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 2) ประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 3) สอบถามความพึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดเทศบาลเมืองมหาสารคาม จานวน 30 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้น แบบประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้งานแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. แอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย แอพพลิเคชั่น และหนังสือประกอบ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
2. ผลการประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 คน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.47 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.45)
3.ผลการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.45 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.49)
โครงงาน :
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ผู้จัดทำ :
นายอานนท์ แทนไชยสง
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ ดร.อภิชาติ เหล็กดี
ปีการศึกษา :
2558
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 2) ประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 3) สอบถามความพึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดเทศบาลเมืองมหาสารคาม จานวน 30 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย แอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้น แบบประเมินคุณภาพของแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้งานแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1. แอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย แอพพลิเคชั่น และหนังสือประกอบ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
2. ผลการประเมินคุณภาพแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ เรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 คน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.47 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.45)
3.ผลการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อแอพพลิเคชั่นด้วยเทคโนโลยีออกเมนเทด เรียลลิตี้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.45 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.49)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ 2) ประเมินคุณภาพของชุดควบคุม
อุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์3) ประเมินความพึง
พอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและ
เว็บบราว์เซอร์กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
ชั้นปีที่ 4 จานวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ การพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ ประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบ
ควบคุมการจ่ายไฟอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราวเซอร์และแบบ
ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อการพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน
บ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และ
การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์
สามารถใช้ในการควบคุมการเปิด–ปิด อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านโดยเชื่อมต่อสัญญาณ Wi-Fi และสั่ง
การทางานผ่าน Application และ Web browser เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูล
2. คุณภาพของการชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟน
และเว็บบราว์เซอร์ โดยการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ท่าน อยู่ในระดับมาก
(x̅ = 4.50 , S.D. = 0.7)
3. ความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
ผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ อยู่ในระดับ มากที่สุด (x̅ = 4.76 ,S.D. = 0.14)
โครงงาน :
การพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่าน สมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ อาน
ผู้จัดทำ :
นายอานพ ไชยวงค์
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์นราธิป ทองปาน
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ 2) ประเมินคุณภาพของชุดควบคุม
อุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์3) ประเมินความพึง
พอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและ
เว็บบราว์เซอร์กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
ชั้นปีที่ 4 จานวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ การพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ ประเมินคุณภาพการพัฒนาระบบ
ควบคุมการจ่ายไฟอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราวเซอร์และแบบ
ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อการพัฒนาชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน
บ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และ
การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์
สามารถใช้ในการควบคุมการเปิด–ปิด อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านโดยเชื่อมต่อสัญญาณ Wi-Fi และสั่ง
การทางานผ่าน Application และ Web browser เป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมูล
2. คุณภาพของการชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟน
และเว็บบราว์เซอร์ โดยการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ท่าน อยู่ในระดับมาก
(x̅ = 4.50 , S.D. = 0.7)
3. ความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อชุดควบคุมอุปกรณ์เปิด–ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
ผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บบราว์เซอร์ อยู่ในระดับ มากที่สุด (x̅ = 4.76 ,S.D. = 0.14)
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) เพื่อพัฒนาชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร2.) เพื่อประเมินคุณภาพของชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คือ ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพ จานวน 3 ท่าน เครื่องมือที่
ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร แบบ
ประเมินคุณภาพการพัฒนาชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
และสถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย ( X ) และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ที่พัฒนาขึ้นโดย
ใช้โปรแกรม Microsoft Visual Studio 2015 และภาษาที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม c# ซึ่งแบ่งออกเป็น
2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1. ส่วนระบบบริหารจัดการข้อมูล การป้องกันบุคคลภายที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ดูแล
ระบบ เข้ามายังสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการข้อมูลใน
การอนุญาตให้บุคลากรที่ยังไม่ได้มีข้อมูลอยู่ระบบเข้าสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารได้ ซึ่ง
ผลการทดสอบโปรแกรม สามารถอัพเดทข้อมูลของบุคคลกร สามารถแก้ไขข้อมูล สามารถลบข้อมูล
สามารถตรวจสอบเวลาการเข้าสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร และสามารถควบคุมการเปิด
ปิดประตูได้ตลอดเวลา
ส่วนที่ 2 ส่วนฮาร์ดแวร์ ซึ่งใช้ Arduino Board ในการเชื่อมต่อกับระบบ การทดสอบพบว่า
คีย์การ์ด สามารถเปิดประตู และส่งข้อมูลคีย์การ์ดไปยังระบบ เพื่อระบุตัวตนในการป้องกันบุคคลที่ไม่ได้
รับอนุญาตเข้ามาในสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร และจัดการข้อมูลของบุคลากรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเป็นระเบียบ สามารถตรวจสอบได้ว่าบุคลากรท่านใดได้เข้ามายังสาขาเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
2. ผลการประเมินคุณภาพการพัฒนาชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ
การสื่อสาร ได้แบ่งออกเป็น 6 ด้าน การประเมินความสามารถในการทางานตามระบบของผู้ใช้, การ
ประเมินระบบด้านผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม, การประเมินระบบด้านความปลอดภัย, การประเมินระบบ
ด้านการออกแบบโปรแกรม, การประเมินด้านซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ตแวร์, การประเมินด้านคู่มือการใช้งาน
ปรากฏว่า ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งหมดทุกด้านอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด ( X =4.05, S.D.
= 0.70)
โครงงาน :
ชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
ผู้จัดทำ :
นายปริวัฒน์ นามมุงคุณ และนายวชิระ ป้อมชัย
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์นราธิป ทองปาน
ปีการศึกษา :
2559
|
การศึกษาโครงงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) เพื่อพัฒนาชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร2.) เพื่อประเมินคุณภาพของชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คือ ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพ จานวน 3 ท่าน เครื่องมือที่
ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร แบบ
ประเมินคุณภาพการพัฒนาชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
และสถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การหาค่าเฉลี่ย ( X ) และการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ที่พัฒนาขึ้นโดย
ใช้โปรแกรม Microsoft Visual Studio 2015 และภาษาที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม c# ซึ่งแบ่งออกเป็น
2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1. ส่วนระบบบริหารจัดการข้อมูล การป้องกันบุคคลภายที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ดูแล
ระบบ เข้ามายังสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการข้อมูลใน
การอนุญาตให้บุคลากรที่ยังไม่ได้มีข้อมูลอยู่ระบบเข้าสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารได้ ซึ่ง
ผลการทดสอบโปรแกรม สามารถอัพเดทข้อมูลของบุคคลกร สามารถแก้ไขข้อมูล สามารถลบข้อมูล
สามารถตรวจสอบเวลาการเข้าสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร และสามารถควบคุมการเปิด
ปิดประตูได้ตลอดเวลา
ส่วนที่ 2 ส่วนฮาร์ดแวร์ ซึ่งใช้ Arduino Board ในการเชื่อมต่อกับระบบ การทดสอบพบว่า
คีย์การ์ด สามารถเปิดประตู และส่งข้อมูลคีย์การ์ดไปยังระบบ เพื่อระบุตัวตนในการป้องกันบุคคลที่ไม่ได้
รับอนุญาตเข้ามาในสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร และจัดการข้อมูลของบุคลากรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเป็นระเบียบ สามารถตรวจสอบได้ว่าบุคลากรท่านใดได้เข้ามายังสาขาเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
2. ผลการประเมินคุณภาพการพัฒนาชุดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยสาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ
การสื่อสาร ได้แบ่งออกเป็น 6 ด้าน การประเมินความสามารถในการทางานตามระบบของผู้ใช้, การ
ประเมินระบบด้านผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม, การประเมินระบบด้านความปลอดภัย, การประเมินระบบ
ด้านการออกแบบโปรแกรม, การประเมินด้านซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ตแวร์, การประเมินด้านคู่มือการใช้งาน
ปรากฏว่า ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งหมดทุกด้านอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด ( X =4.05, S.D.
= 0.70)
|
การศึกษาโครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบจัดเก็บเอกสารการสอน คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม 2) ประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บเอกสารการสอน คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบจัดเก็บเอกสารการ
สอน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ในคณะ
วิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จานวน 30 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับ
ฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1) ระบบจัดเก็บเอกสารการสอน 2) แบบประเมินคุณภาพของระบบ
จัดเก็บเอกสารการสอน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบจัดเก็บเอกสารการ
สอน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบจัดเก็บเอกสารการสอน ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแล
ระบบ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้บริหาร ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นอาจารย์ ระบบจัดเก็บเอกสารการสอนที่
พัฒนาขึ้นนี้ สามารถนาไปใช้ในการเก็บเอกสารการสอนได้จริง
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บเอกสารการสอนของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมอยู่ในระดับ
มาก ( x̅ =4.46, S.D. = 0.55)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบจัดเก็บเอกสารการสอนโดยรวมอยู่ใน
ระดับมาก ( x̅ = 4.48, S.D.=0.65)
โครงงาน :
การพัฒนาระบบจัดเก็บเอกสารการสอน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้จัดทำ :
นางสาวอารียา สีตุ้ยเลิง
อาจารย์ปรึกษา :
อาจารย์ทิพวิมล ชมภูคำ
ปีการศึกษา :
2560
|
การศึกษาโครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบจัดเก็บเอกสารการสอน คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม 2) ประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บเอกสารการสอน คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม 3) สอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบจัดเก็บเอกสารการ
สอน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยามหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ในคณะ
วิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จานวน 30 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับ
ฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1) ระบบจัดเก็บเอกสารการสอน 2) แบบประเมินคุณภาพของระบบ
จัดเก็บเอกสารการสอน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบจัดเก็บเอกสารการ
สอน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานคือค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
1. ระบบจัดเก็บเอกสารการสอน ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้ดูแล
ระบบ ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นผู้บริหาร ส่วนของผู้ใช้งานที่เป็นอาจารย์ ระบบจัดเก็บเอกสารการสอนที่
พัฒนาขึ้นนี้ สามารถนาไปใช้ในการเก็บเอกสารการสอนได้จริง
2. ผลการประเมินคุณภาพระบบจัดเก็บเอกสารการสอนของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมอยู่ในระดับ
มาก ( x̅ =4.46, S.D. = 0.55)
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบจัดเก็บเอกสารการสอนโดยรวมอยู่ใน
ระดับมาก ( x̅ = 4.48, S.D.=0.65)